The English Clinic โดย Cyber School of English
รายงานการวิจัยท ี่เกี่ยวกับผลของการเรียนโฟนิคส์
(Scientific Documentation on the effects of Phonics)
แปลและเรียบเรียงโดย ดร. อินทิรา ศรีประสิทธิ์
งานวิจัย แสดงให้เห็นว่า โปรแกรม สอน อ่านด้วย โฟนิมิคสืและ โฟนิคส์ ที่มีคุณภาพและได้รับการออกแบบมาอย่างถูกต้องช่วยคนที่อ่อนภาษาอังกฤษได้จริง
สมองของเด็กที่ไม่มีปัญหาในการเรียนรู้ภาษาอังกฤษเช่นการอ่าน (รูปซ้าย) เปรียบเทียบกับผู้มีปัญหา (รูปขวา ) ที่สมองส่วนหลังไม่ได้รับการกระตุ้น
ข่าวจาก แอสโซซิเอทเท็ด เพรส (AP) : 23 เมษายน 2004 เมือง นิว ฮาเว้น รัฐ คอนเน็คติคัท
· งานวิจัยได้ แสดงให้เห็นว่า เส้นไยสมองของเด็กที่อ่านภาษาอังกฤษไม่เก่งจะมีการแตกตัวและเบ่งบาน ทำให้ความสามารถในการอ่านดีขึ้น เมื่อครูสอนเด็กเหล่านั้นด้วยการใช้โปรแกรมสอนอ่านที่เรียกว่าโฟนิมิคส์และโฟนิคส์ ที่ถูกออกแบบมาตามหลักการทางวิทยาศาสตร์ (scientifically- based reading instruction)
· นักวิจัยของ คณะแพทยศาสตร์ ของมหาวิทยาลัยเยล (Yale) ได้ใช้เครื่อง MRI สแกนมันสมอง ของเด็กที่ได้เรียนโปรแกรมโฟนิคส์อย่างเข้มข้น พบว่า ส่วนหนึ่งของสมองที่ควบคุมทักษะทางด้านการอ่าน ได้พัฒนาไปในทางที่ดีขึ้น อย่าง ถาวร แม้การการเรียนโฟนิคส์จะสิ้นสุดลงมาแล้ว 1ปี
· เด็กที่เคยอ่านภาษาอังกฤษไม่เก่ง จะมีพัฒนาการทันเด็กที่อ่านเก่งตั้งแต่แรก โดยเฉพาะทางด้าน ความคล่องของการอ่าน (reading fluency) และ ความ เข้าใจบทอ่าน (text comprehension) ดร . เซลลี่ เชวิธซ์ (Sally Shaywitz) หัวหน้าทีมวิจัย และผู้เชี่ยวชาญทางด้านปัญหาการอ่านภาษาอังกฤษระดับชาติกล่าว
“ ผลของการวิจัยนี้ ทำให้เรา มีความหวังว่า เด็กเหล่านี้ไม่เพียงแต่จะเรียนภาษาอังกฤษเก่งขึ้น แต่สมองเขา ยังได้รับการจัดระเบียบหรือระบบใหม่ (brains can be reorganized) เราหวังว่า งานวิจัยนี้จะช่วยให้ ผู้บริหารการศึกษา พ่อแม่ผู้ปกครอง และสาธารณชนทั่วไป ที่มีส่วนร่วมหรือมีอิทธิพลต่อการวางนโยบายของรัฐ ได้ตระหนักถึงผลของงานวิจัยนี้ เพื่อเด็กๆทุกคนจะได้รับความช่วยเหลือจากรัฐด้วยการใช้โปรแกรมสอนอ่านโฟนิคส์ เสริมในหลักสูตรปัจจุบัน ”
· งานวิจัยติดตามเด็กอายุ 6-9 ปี จำนวน 77 คน ในเมืองนิวฮาเว้น (New Haven ) และไซราคิวส์ (Syracuse ) รัฐ นิวยอร์ค ในจำนวนนี้ มีเด็ก 49 คนที่อ่านภาษาอังกฤษได้ดี และที่เหลือเป็นเด็กที่มีปัญหาในการอ่าน
· สามในสี่ส่วนของเด็กที่อ่านภาษาอังกฤษไม่เก่ง ได้รับการติวจากทีมงานสอนโฟนิคส์ที่นำเอาบทเรียนโฟนิคส์ ที่เป็นหลักสูตรเข้มข้น ที่เป็นผลจากงานวิจัยของคณะกรรมการการอ่านแห่งชาติ (National Reading Panel) ซึ่งรัฐสภาคองเกรสได้แต่งตั้งขึ้นในปี 1997 บทเรียนที่ใช้ติวเด็กเหล่านี้เป็นบทเรียนโฟนิคส์ที่ถูกออกแบบมาอย่างเป็นระบบ แบบที่เรียกว่า explicit, systematic and sequential direct instruction (เช่น โปรแกรมโฟนิคส์เข้มข้นที่คลินิคหมอภาษาอังกฤษได้ นำมาใช้สอนโฟนิคส์ ในประเทศไทย ) ส่วนเด็กที่เหลือได้รับการติวภาษาอังกฤษแบบปกติธรรมดาที่ทำกันในโรงเรียนทั่วไป
· ก่อนหน้านี้ งานวิจัยได้แสดงให้เห็นว่าเด็กที่อ่านไม่เก่ง มีความผิดปกติสองแห่งที่เส้นไยสมองส่วนหลัง ส่วนหนึ่งเป็นเส้นไยที่ควบคุมทักษะภาษา และอีกส่วนหนึ่งควบคุมทักษะการอ่าน เมื่อสมองของเด็กที่อ่านเก่งถูกสแกนด้วยเครื่อง MRI ในระหว่างการอ่าน พบว่าศูนย์กลางของสมองจะได้ รับการกระตุ้น แต่สำหรับเด็กที่อ่านไม่เก่ง ส่วนหลังของสมองในบริเวณเดียวกันไม่มีร่องรอยของการได้รับการกระตุ้นแม้แต่น้อย
· คำถามก็ คือระบบเส้นไยสมองนี้จะได้รับการซ่อมแซมแก้ไขได้ไหม ? ดร เชวิธซ์ ตั้งคำถาม “ และถ้า เราให้ เด็กเหล่านี้ได้มีโอกาสได้รับการ ติวเข้มอย่าง มีระบบ เราไม่เพียง แต่จะทำให้ เขามีความสามารถในการอ่านดีขึ้น เท่านั้น แต่ เรายังสามารถจัดระเบียบเส้นไยสมอง ของเด็กเหล่านี้ ได้ไหม่ เพื่อพัฒนาศักยภาพในการเรียนรู้ภาษา ”
· ในงานวิจัยนี้ เด็กที่ได้รับการติวเข้มหลักสูตรโฟนิคส์ จะแสดงความก้าวหน้าในการอ่านดีกว่าเด็ก ที่ได้รับการติวแบบธรรมดา และเครื่องสแกนสมอง MRI แสดง ให้เห็นถึงร่องรอยของเส้นไยสมองใหม่ที่ถูกสร้างขึ้นในส่วนที่ไม่ได้แสดงร่องรอยมาก่อนว่าได้รับการกระตุ้น
· และเราก็พบอีกว่า อย่างน้อย 1 ปีหลังจากที่ได้มีการติวเข้มสิ้นสุดลง ระบบสมองที่ควบคุมการอ่านยังกระชับ และยังคงมีสภาพเหมือนกับของเด็กที่ไม่มีปัญหาในการอ่าน ดร. เบเน็ท เชวิธซ์ ผู้ร่วมวิจัยกับภรรยาในงานวิจัยนี้ กล่าว
· งานวิจัยนี้ได้รับการสนับสนุนด้วยเงินทุน ของสถาบันสุขภาพของเด็กและการพัฒนาศักยภาพมนุษย์แห่งชาติ (The National Institute of Child Health and Human Development) ซึ่งเป็น ส่วนหนึ่งของสถาบันสุขภาพ แห่งชาติ (National Institute of Health)ของสหรัฐฯ และได้ถูก ตีพิมพ์ในวารสาร Biological Psychiatry ฉบับเดือน พฤษภาคม ปี 2004
· งานวิจัยนี้ ยังได้ แสดงให้เห็นว่าระบบสมองที่ควบคุมทักษะการอ่านภาษาอังกฤษ จะตอบสนอง ต่อการติวทางด้านการอ่านที่ได้ผลเท่านั้น (effective reading instruction) และ “ งานวิจัยนี้ สอดคล้องกับผลของการสังเกตุการน์พฤฒิกรรมของเด็กในห้องเรียน” นาย เฟอร์กูสัน ผู้เชี่ยวชาญทางด้านการอ่าน และ ผู้อำนวยการโรงเรียนมัธยม ในเมือง ฮูสตัน กล่าวสนับสนุน
· คณะกรรมการการอ่านแห่งชาติ สหรัฐ ได้เสนอแนะให้เด็กทุกคนที่อยากเก่งภาษาทุกทักษะ ต้องเริ่มด้วยการเรียนรู้หลักสูตรโฟนิมิคส์ที่สอนให้รู้จักแยกแยะหน่วยเสียงภาษาอังกฤษ และการเชื่อมโยง หน่วยเสียงกับตัวอักษรภาษาอังกฤษ หรือที่รู้จักกัน ทั่วไปว่าโฟนิคส์ และ หลังจากนั้น ครูผู้สอนจะ ต้องติวเด็กทางด้านความคล่องของการอ่าน (reading fluency ) พัฒนาคลังคำศัพท์ (Vocabulary development) และความเข้าใจในบทอ่าน (text comprehension) พร้อมๆ กัน
· เด็กทุกคน จำเป็นที่จะต้องเรียนหลักสูตรนี้ อย่างมี ระบบไม่ ใช่ อย่างไม่มีระบบ แบบตรงนี้นิด ตรงนี้หน่อย และต้องเรียนต่อเนื่องกันอย่างมีระบบจนครบองค์ความรู้จึงจะได้ ผล “ Children need to learn this not randomly or in a fragmented way, but in a comprehensive and systematic way,”
· เด็กๆ จะอ่านเก่ง ถ้ามีคนอ่านให้เขาฟังตั้งแต่เด็ก และถ้าเขาได้รับการสนับสนุนและได้รับการกระตุ้นให้อยากอ่าน
“ Children are better readers if they are read to at a young age and if they are motivated and encouraged.” ดร. เชวิธซ์ กล่าวสรุป
คลินิคหมอภาษาอังกฤษ โดย
โดย ดร. อินทิรา ศรีประสิทธิ์ และทีมงานผู้ทรงคุณวุฒิ
Tel 08-1915-7537, 02-3781428
www.cyber-smart.org
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น